PEARL DENTAL CLINIC

สัญญาณเตือนว่ารากเทียมมีปัญหาสังเกตได้อย่างไร

สัญญาณเตือนว่ารากเทียมมีปัญหาสังเกตได้อย่างไร

รากฟันเทียม (Dental implant) ถือเป็นนวัตกรรมทันตกรรมที่ช่วยให้ผู้สูญเสียฟันธรรมชาติกลับมายิ้มได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง ด้วยความแข็งแรง ทนทาน และดูเป็นธรรมชาติ รากเทียมจึงกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพช่องปากในระยะยาว แต่อย่างไรก็ตามแม้รากนี้จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่หากดูแลไม่ดีหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน ก็อาจส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาได้เช่นกัน

ในบทความนี้เราจะพาคุณมาสังเกตสัญญาณเตือนว่ารากที่ฝังมีปัญหา และควรเข้าพบทันตแพทย์เมื่อใด เพื่อให้การดูแลรากฝังเทียมของคุณปลอดภัย และอยู่กับคุณไปได้นานที่สุด

สารบัญเนื้อหา

รากฟันเทียม (Dental implant) คืออะไร ทำไมถึงเป็นทางเลือกยอดนิยม1

รากฟันเทียม (Dental implant) คือวัสดุไทเทเนียมที่ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่เสมือน “รากฟันธรรมชาติ” ฝังลงในกระดูกขากรรไกรเพื่อรองรับฟันปลอม ครอบฟัน หรือสะพานฟัน เป็นวิธีการทดแทนฟันที่สูญเสียไปโดยไม่รบกวนฟันซี่ข้างเคียง ซึ่งแตกต่างจากฟันปลอมแบบถอดได้หรือสะพานฟันแบบเดิมที่อาจทำให้เกิดปัญหาต่อฟันโดยรอบในระยะยาว

โครงสร้างของรากฟันเทียม มีส่วนประกอบอะไรบ้าง

แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่

  1. Fixture – ส่วนที่ฝังเข้าไปในกระดูกขากรรไกร ทำจากไทเทเนียมซึ่งมีคุณสมบัติเข้ากันได้ดีกับร่างกาย (biocompatible)
  2. Abutment – ส่วนเชื่อมต่อระหว่างรากฟันที่ฝังกับฟันปลอมด้านบน ทำหน้าที่เป็นฐานรองรับครอบฟัน
  3. Crown – ส่วนที่เห็นได้ภายนอก หน้าตาเหมือนฟันธรรมชาติ มักทำจากเซรามิกหรือพอร์ซเลนเพื่อความแข็งแรงและสวยงาม

กระบวนการทำงานของรากฟัน ตั้งแต่ฝังจนใช้งานได้จริง

หลังจากฝังรากเข้าไปในกระดูกขากรรไกรแล้ว จะต้องรอให้กระดูกเกิดกระบวนการที่เรียกว่า “Osseointegration” หรือการเชื่อมประสานระหว่างกระดูกกับรากฟัน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2–6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน และเมื่อรากฟันยึดติดกับกระดูกอย่างแน่นหนาแล้ว ทันตแพทย์จะติดตั้ง Abutment และครอบฟัน (Crown) ต่อไป เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้งานฟันได้อย่างเป็นปกติ ทั้งในด้านการเคี้ยว พูด และความมั่นใจในรอยยิ้ม

ปัญหาที่พบบ่อยเกี่ยวกับรากฟันเทียมที่คุณไม่ควรมองข้าม

การทำรากฝังฟันเทียมเป็นวิธีการทดแทนฟันที่สูญเสียไปอย่างได้ผล ช่วยให้กลับมายิ้มและใช้งานฟันได้ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้รากที่ฝังไว้จะมีอายุการใช้งานยาวนานและมีความแข็งแรงสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย 100% หากขาดการดูแลหรือมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างก็ควรรีบพบแพทย์ทันตกรรมในทันที 

1. การอักเสบรอบรากเทียม (Peri-implantitis)

ภาวะการอักเสบรอบๆ รากฟันที่ฝังไว้หรือที่เรียกว่า Peri-implantitis คือหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุด มักเกิดจากการสะสมของคราบแบคทีเรียบริเวณเหงือกและกระดูกโดยรอบ หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจทำให้กระดูกละลายและรากฟันให้หลุดได้ในที่สุด

2. การเคลื่อนตัวหรือหลวมของรากที่ฝัง

หากคุณรู้สึกว่ารากฟันที่ฝังไว้ขยับได้ หรือรู้สึกไม่แน่นเหมือนเดิม นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ารากฟันของคุณเริ่มมีปัญหาเพราะอาการหลวมของรากฟันอาจเกิดจากการยึดเกาะกับกระดูกไม่สมบูรณ์ หรือเกิดการอักเสบรอบราก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและแก้ไขโดยทันตแพทย์ทันที

3. อาการปวด บวม หรือมีเลือดออกผิดปกติ

หลังการฝังรากอาการบวมและเจ็บเล็กน้อยถือว่าเป็นเรื่องปกติในช่วงแรก แต่หากอาการเหล่านี้ไม่หายไป หรือกลับแย่ลง เช่น ปวดมากขึ้น เหงือกบวมแดง มีเลือดออกง่าย หรือมีหนองร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของภาวะอักเสบหรือติดเชื้อซึ่งควรรีบพบแพทย์ทันที

สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่ารากฟันเทียมกำลังมีปัญหา

  1. รู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองบริเวณรากฟันเทียม หากคุณรู้สึกปวดหรือระคายเคืองอย่างต่อเนื่องในบริเวณที่ติดตั้งราก นั่นอาจบ่งบอกถึงการอักเสบหรือการติดเชื้อภายใน ซึ่งควรรีบตรวจเช็คโดยทันตแพทย์เฉพาะทางทันที
  2. รู้สึกว่ารากเทียมมีการเคลื่อนหรือหลวม รากฟันที่ติดตั้งอย่างถูกต้องไม่ควรเคลื่อนไหว หากคุณรู้สึกว่ารากที่ฝังไว้เริ่มหลวมเมื่อเคี้ยวอาหารหรือสัมผัส แสดงว่าอาจมีปัญหากับกระดูกขากรรไกรหรือการยึดเกาะของราก
  3. มีกลิ่นปากหรือรสขมผิดปกติในช่องปาก กลิ่นปากเรื้อรังหรือรสขมในปากอาจเกิดจากการติดเชื้อบริเวณรากทีฝัง หรือเศษอาหารตกค้างที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง
  4. เหงือกบวม แดง หรือมีหนองเหงือกที่บวม แดง หรือมีหนองไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีภาวะอักเสบรอบรากฟันเทียม (Peri-implantitis) ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่ว
  5. มีเลือดออกเมื่อแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันบริเวณรากที่ฝัง หากมีเลือดออกเป็นประจำขณะดูแลฟันรอบๆ ราก อาจแปลว่ามีปัญหากับเนื้อเยื่อเหงือกหรือเริ่มมีการติดเชื้อบริเวณรากที่ฝังไว้แล้ว

เมื่อมีปัญหา ควรดูแลและแก้ไขอย่างไร

  1. พบแพทย์ทันตกรรมเฉพาะทางทันที อย่าปล่อยให้อาการรุนแรงขึ้น เพราะการตรวจเช็คอย่างละเอียดโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยวินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
  2. หลีกเลี่ยงการใช้งานหนักบริเวณรากฟันเทียม ควรหลีกเลี่ยงการเคี้ยวของแข็งหรือแรงกัดมากเกินไปในบริเวณที่มีรากฝังไว้ เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระแทกที่อาจทำให้รากหลุดหรือเกิดความเสียหาย
  3. ปรับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก อย่างเช่นการแปรงฟันอย่างถูกวิธี ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ และใช้น้ำยาบ้วนปากที่เหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงของการสะสมเชื้อโรคบริเวณนั้นได้

เคล็ดลับการดูแลรากฟันเทียมไม่ให้เกิดปัญหาในระยะยาว

  1. ดูแลหลังติดตั้งรากอย่างถูกวิธี – ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดในช่วงหลังติดตั้งรากใหม่ๆ เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้ Dental implant มีอายุการใช้งานยาวนาน
  2. พบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็คตามนัด ตรวจสุขภาพรากฟันสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาที่ลุกลาม
  3. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ หรือเคี้ยวของแข็ง ที่ส่งผลโดยตรงต่อการยึดเกาะของรากฟันและเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ

หากคุณมี รากฟันเทียม อย่าลืมใส่ใจและสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันปัญหาใหญ่ในอนาคต และหากพบสัญญาณเตือนใดๆ ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Dental implant ที่มีประสบการณ์ เช่นที่ PEARL DENTAL CLINIC พร้อมดูแลรากเทียมของคุณให้ใช้งานได้ยาวนานอย่างมั่นใจในจังหวัดเชียงใหม่

Facebook
Twitter
Email
X

บทความล่าสุด

นัดเพื่อปรึกษาทันตแพทย์

เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์
เวลาทำการ 9.30 – 20.00 น.

ที่อยู่ : 316  โครงการ J Space ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ 

แผนที่ : Pearl Dental Clinic