คำแนะนำก่อนเข้ารับการตรวจทำรากฟันเทียม 2025

ก่อนเริ่มกระบวนการฝังรากเทียม จำเป็นต้องมีการตรวจและวางแผนการรักษาอย่างละเอียดเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด มาดูกันว่ามีขั้นตอนอะไรบ้างที่ควรรู้ก่อนเข้ารับการรักษา

1. ตรวจสุขภาพช่องปากและประเมินสภาพฟัน

ก่อนเข้ารับการทำรากฟันเทียมทันตแพทย์จะทำการตรวจสุขภาพฟัน เหงือก และกระดูกขากรรไกรของคุณ โดยอาจใช้การเอกซเรย์ (X-ray) หรือ CT Scan เพื่อตรวจสอบว่ากระดูกขากรรไกรมีความหนาแน่นเพียงพอหรือไม่ หากกระดูกไม่เพียงพอ อาจต้องมีการปลูกกระดูกเสริมก่อน

2. วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล

แต่ละคนมีโครงสร้างช่องปากที่แตกต่างกัน ดังนั้น ทันตแพทย์จะออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น

• ตำแหน่งของฟันที่หายไป
• ความหนาแน่นของกระดูกขากรรไกร
• สุขภาพเหงือกและฟันที่เหลืออยู่
• โรคประจำตัวหรือปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการรักษา

3. พูดคุยเกี่ยวกับประเภทของรากฟันเทียม

รากฟันเทียมมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับวัสดุและเทคนิคที่ใช้ ทันตแพทย์จะแนะนำตัวเลือกที่เหมาะสม เช่น

• รากฟันเทียมไทเทเนียม – ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเนื่องจากมีความแข็งแรงสูง ทนทานต่อแรงบดเคี้ยว และสามารถยึดติดกับกระดูกขากรรไกรได้ดี อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานยาวนาน ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทดแทนฟันที่สูญเสียไปอย่างมั่นคงและถาวร
• รากฟันเทียมเซรามิก (Zirconia) – เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่แพ้โลหะหรือมีความกังวลเรื่องโลหะในร่างกาย อีกทั้งยังมีสีที่ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ ทำให้ดูเป็นธรรมชาติและสวยงามมากขึ้น เหมาะสำหรับบริเวณฟันหน้าที่ต้องการความเนียนกลมกลืนกับฟันธรรมชาติเป็นพิเศษ

4. ประเมินค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการรักษา

การทำรากฟันเสมือนจริงต้องใช้เวลาตั้งแต่ 3-6 เดือน ในการฝังรากเทียมและรอให้กระดูกยึดติด นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้และความซับซ้อนของเคส ดังนั้น ควรปรึกษาคลินิกเพื่อวางแผนค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม

5. เตรียมตัวก่อนเริ่มการรักษา

เมื่อแผนการรักษาชัดเจนแล้ว คุณอาจต้องเตรียมตัวดังนี้

• งดสูบบุหรี่ก่อนการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
• ดูแลสุขภาพช่องปากให้ดี เช่น แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ