PEARL DENTAL CLINIC

Checklist ที่ต้องรู้การเตรียมตัวก่อนทำรากเทียม

ก่อนเข้ารับการรักษาด้วยรากฟันเทียม (Dental Implant) ผู้ป่วยหลายคนมักสับสนระหว่าง “การรักษารากฟัน” กับ “รากเทียม” แม้ชื่อจะคล้ายกันแต่มีวัตถุประสงค์และวิธีการรักษาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การรักษารากฟัน เป็นกระบวนการที่ช่วยรักษาฟันธรรมชาติที่ยังคงอยู่ แม้ว่าจะผุลึกหรือมีการติดเชื้อ โดยแพทย์จะทำความสะอาดโพรงประสาทฟันและอุดรากฟันเพื่อป้องกันการสูญเสียฟัน ในทางกลับกันรากเทียม จะเป็นการรักษาสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันไปแล้ว โดยใช้รากเทียมที่ทำจากไทเทเนียมฝังลงในกระดูกขากรรไกร เพื่อรองรับฟันปลอมที่ติดตั้งภายหลัง

สำหรับผู้ที่สนใจ ทำรากเทียม นอกจากการเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานแล้ว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนและการเตรียมตัวล่วงหน้าก็เป็นสิ่งสำคัญ Pearl Dental Clinic Chiang Mai ได้รวบรวมข้อมูลที่ควรรู้ก่อนเข้ารับบริการ เพื่อช่วยให้คุณมั่นใจและพร้อมสำหรับการรักษารากฟันเทียมอย่างมีประสิทธิภาพ

Checklist ที่ต้องรู้การเตรียมตัวก่อนทำรากเทียม
สารบัญเนื้อหา

รากฟันเทียมคืออะไร ทำไมถึงเป็นทางเลือกในการทดแทนฟันที่สูญเสียไป

รากฟันเทียมเป็นวิธีการทดแทนฟันที่สูญเสียไป ไม่ว่าจะเกิดจากฟันผุ ฟันหัก อุบัติเหตุ หรือภาวะที่ทำให้ต้องถอนฟัน เช่น รากฟันแตกร้าวหลังการรักษาคลองรากฟัน โดยทั่วไปวัสดุหลักที่ใช้ทำรากเทียม คือ ไทเทเนียม ซึ่งเดิมนิยมใช้ในอุตสาหกรรมการบิน ก่อนจะถูกพัฒนาให้ใช้ทางการแพทย์เนื่องจากมีคุณสมบัติที่แข็งแรง น้ำหนักเบา และเข้ากับร่างกายได้ดี

การรักษาด้วยรากฟันเทียมเริ่มจากการฝังรากเทียมลงในกระดูกขากรรไกร เพื่อเป็นฐานรองรับฟันปลอมที่ติดตั้งภายหลัง ซึ่งช่วยให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ คล้ายกับฟันธรรมชาติ

ทำรากเทียมต้องรู้อะไรบ้าง เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้ารับการรักษา

  1. ตรวจสุขภาพช่องปากโดยละเอียด
    ทันตแพทย์จะทำการตรวจช่องปากอย่างละเอียด เพื่อประเมินสภาพเหงือก ฟัน และกระดูกขากรรไกรว่ามีความพร้อมสำหรับการฝังรากเทียมหรือไม่
  2. ตรวจสอบโรคประจำตัวและการใช้ยา
    หากมีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือกำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด อาจต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนเข้ารับการรักษา
  3. วางแผนจำนวนรากเทียมและครอบฟัน
    แพทย์และผู้ป่วยต้องร่วมกันวางแผนว่าจะมีการฝังรากเทียมตำแหน่ง และเลือกชนิดของครอบฟันให้เหมาะสม เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาตรงกับความต้องการ
  4. ประเมินลักษณะและปริมาณกระดูกขากรรไกร
    กระดูกขากรรไกรต้องมีความแข็งแรงและปริมาณเพียงพอเพื่อรองรับรากเทียม หากมีกระดูกไม่เพียงพอ อาจต้องเสริมกระดูกก่อนทำการรักษา
  5. ตรวจวิเคราะห์ด้วยภาพรังสี 3 มิติ
    การสแกนกระดูกขากรรไกรด้วย 3D X-ray ช่วยให้แพทย์เห็นโครงสร้างกระดูก เส้นประสาท และโพรงไซนัสอย่างละเอียด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการฝังรากฟันเทียม
  6. วิเคราะห์ภาพรังสีและกำหนดขนาดรากฟันเทียม
    เมื่อได้ภาพจาก X-ray หรือ 3D Scan ทันตแพทย์จะประเมินว่ากระดูกมีความเหมาะสมเพียงพอหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบระยะห่างจากอวัยวะสำคัญ เช่น เส้นประสาทและโพรงไซนัส เพื่อนำมาพิจารณาขนาดและความยาวของ รากเทียม ที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

กระดูกเพียงพอหรือไม่? ปัจจัยสำคัญก่อนฝังรากฟันเทียม Dental Implant

ก่อนเข้ารับการรักษารากฟันเทียม (Dental Implant) ทันตแพทย์จะประเมินปริมาณและความแข็งแรงของกระดูกขากรรไกร หากกระดูกมีเพียงพอ คนไข้สามารถฝังรากเทียม ได้ทันทีโดยไม่ต้องเสริมกระดูก

แต่ในกรณีที่กระดูกไม่เพียงพอ ทันตแพทย์จะอธิบายแนวทางการรักษาและวิธีการเสริมกระดูกให้ผู้ป่วยเข้าใจก่อนตัดสินใจ ซึ่งการเสริมกระดูกมีหลายวิธี และวัสดุที่ใช้จะแตกต่างกันไปตามลักษณะของกระดูกที่สูญเสีย ทันตแพทย์จะพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล คนไข้สามารถพูดคุยและปรึกษาแผนการรักษากับทันตแพทย์เพื่อให้มั่นใจว่าการฝังรากฟันเทียมเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

3 ช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการฝังรากฟันเทียม

การฝังรากเทียม (Dental Implant) สามารถทำได้ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพฟันและกระดูกของผู้ป่วย โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลาหลักที่ควรพิจารณา ดังนี้

  • ช่วงที่ 1: การฝังรากฟันเทียมทันทีหลังถอนฟัน
    หากฟันมีสภาพที่ไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้และมีความจำเป็นต้องถอนออก แต่กระดูกและเหงือกยังอยู่ในสภาพดี เช่น กระดูกเพียงพอและเหงือกไม่มีปัญหา ทันตแพทย์จะทำการถอนฟันและฝังรากฟันเทียมในวันเดียวกันได้ทันที ข้อดีของวิธีนี้ คือ เจ็บตัวน้อยกว่าและทำครั้งเดียว ส่วนข้อเสีย คือ ไม่สามารถทำได้ทุกกรณี โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับฟันในตำแหน่งที่ต้องการความสวยงาม เช่น ฟันหน้าที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
  • ช่วงที่ 2: การฝังรากเทียมหลังจากถอนฟัน 2-4 เดือน
    หลังจากการถอนฟันประมาณ 2-4 เดือน เหงือกจะเริ่มฟื้นตัวและสามารถปิดเหงือกได้ดีขึ้น การฝังรากเทียมในช่วงนี้สามารถทำได้ในสภาพที่กระดูกและเหงือกสมบูรณ์ ซึ่งช่วยให้กระบวนการฝังรากเทียมเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ช่วงที่ 3: การฝังรากเทียมหลังจาก 4 เดือนขึ้นไป
    ในช่วงนี้กระดูกและเหงือกจะเริ่มฟื้นตัวเต็มที่ การฝังรากเทียมจึงสามารถทำได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย เพราะกระดูกได้กลับสู่สภาพที่ดีแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฝังรากฟันเทียม 


การฝังรากฟันเทียม หรือ Dental Implant เป็นกระบวนการที่ต้องการการประเมินอย่างรอบคอบจากทันตแพทย์เฉพาะทาง โดยจะใช้ภาพเอกซเรย์ 3D ในการตรวจสอบสภาพกระดูกและเหงือกของแต่ละบุคคล เนื่องจากการฝัง
รากเทียมไม่สามารถทำได้เหมือนกันทุกคน ขั้นตอนแรกที่สำคัญคือการตรวจประเมินสุขภาพทั่วไปของคนไข้ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อห้ามในการทำการรักษา หากคนไข้มีโรคประจำตัว หรือทานยาละลายลิ่มเลือด การประเมินและการเตรียมตัวอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญก่อนการผ่าตัด


เมื่อถึงวันนัดหมาย Pearl Dental Clinic Chiang Mai ทันตแพทย์จะตรวจเช็กความดันและประวัติสุขภาพของคนไข้อย่างละเอียดอีกครั้ง จากนั้นจึงทำการฝังรากฟันเทียม ซึ่งกระบวนการทั้งหมดจะถูกดูแลโดยทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้การฝัง 
รากเทียม เป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด การเตรียมตัวที่ดีและการปฏิบัติตามคำแนะนำจากทันตแพทย์จะช่วยให้การรักษาประสบความสำเร็จและฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเตรียมตัวทำรากเทียม

ต้องรอนานแค่ไหนหลังถอนฟันก่อนทำรากเทียมได้?

สามารถทำได้ 3 ช่วง: ทำทันทีหลังถอนฟัน, รอ 2-4 เดือนให้เหงือกฟื้นตัว หรือรอมากกว่า 4 เดือนให้กระดูกฟื้นตัวเต็มที่ ขึ้นอยู่กับสภาพฟันและกระดูกของแต่ละคน

 ได้ แต่ต้องผ่านการเสริมกระดูกก่อน โดยทันตแพทย์จะประเมินและเลือกวิธีเสริมกระดูกที่เหมาะสมเป็นรายบุคคล

ได้ แต่ต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด

Facebook
Twitter
Email
X

บทความล่าสุด

นัดเพื่อปรึกษาทันตแพทย์

เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์
เวลาทำการ 9.30 – 20.00 น.

ที่อยู่ : 316  โครงการ J Space ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ 

แผนที่ : Pearl Dental Clinic