PEARL DENTAL CLINIC

รู้ทันการติดเชื้อรอบรากเทียม พร้อมวิธีการรักษาให้ทัน

รู้ทันการติดเชื้อรอบรากเทียม พร้อมวิธีการรักษาให้ทัน

รากเทียมหรือรากฟันเทียม (Dental implant) เป็นทางเลือกในการทดแทนฟันที่สูญเสียไป แต่หากดูแลไม่ถูกต้อง อาจเกิดภาวะการติดเชื้อรอบๆ ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เหงือกอักเสบ กระดูกโดยรอบถูกทำลาย และอาจสูญเสียรากฟันทดแทนได้ การรู้ทันสาเหตุ อาการ และแนวทางรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยยืดอายุการใช้งานและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

สารบัญเนื้อหา

ภาวะติดเชื้อรอบรากเทียม (Dental implant) คืออะไร

การติดเชื้อรอบรากเทียม หรือ Peri-implantitis เป็นภาวะอักเสบที่เกิดขึ้นบริเวณเนื้อเยื่อและกระดูกโดยรอบรากฟัน ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียกระดูกและทำให้รากหลวม หรือในกรณีรุนแรงอาจทำให้ต้องถอดรากฟันฝังเทียมออก

ภาวะนี้มี 2 ระดับ ได้แก่

  1. Peri-implant mucositis ระยะเริ่มต้นของการอักเสบรอบๆ ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะในเนื้อเยื่อเหงือกโดยรอบ โดยไม่มีการทำลายกระดูกที่รองรับ หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและปรับปรุงสุขอนามัยช่องปากอย่างเหมาะสม อาการอักเสบสามารถฟื้นฟูกลับสู่สภาพปกติได้

ลักษณะอาการของ Peri-implant mucositis

  • เหงือกรอบรากฟันเทียมมีอาการบวม แดง หรือรู้สึกระคายเคือง
  • มีเลือดออกขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน
  • อาจมีอาการปวดเล็กน้อยแต่ไม่รุนแรง
  • ไม่มีการสูญเสียกระดูกขากรรไกร
  1. Peri-implantitis เป็นระยะที่รุนแรงกว่าของการติดเชื้อรอบๆ ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อเหงือก แต่ยังทำให้เกิดการทำลายกระดูกขากรรไกรที่รองรับ หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้รากเทียมหลวม สูญเสียการยึดเกาะ และต้องถอดออกในที่สุด

ลักษณะอาการของ Peri-implantitis

  • อาการบวม แดง และอักเสบของเหงือกที่รุนแรงขึ้น
  • เลือดออกขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันมากกว่าปกติ
  • มีหนองหรือของเหลวผิดปกติไหลออกจากบริเวณรากฟัน
  • รู้สึกปวดหรือไม่สบายบริเวณรากฟัน
  • กระดูกขากรรไกรรอบๆ รากเริ่มลดลง ทำให้รากเริ่มโยกหรือไม่มั่นคง
  • อาจมีกลิ่นปากหรือรสชาติผิดปกติเนื่องจากแบคทีเรียสะสม

สรุป

  • Peri-implant mucositis เป็นระยะเริ่มต้นที่สามารถรักษาให้หายได้หากดูแลอย่างเหมาะสม
  • Peri-implantitis เป็นระยะรุนแรงที่ทำให้เกิดการสูญเสียกระดูกและอาจต้องถอดรากฟันเทียมออก

ดังนั้น การดูแลสุขภาพช่องปากให้ดี และตรวจเช็คสุขภาพฟันเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการติดเชื้อและทำให้รากนี้อยู่ได้นานขึ้น

สาเหตุของการติดเชื้อรอบรากเทียม

ภาวะการติดเชื้อรอบรากเทียม (Dental implant) มักเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงพฤติกรรมการดูแลช่องปาก สุขภาพโดยรวม และปัจจัยทางทันตกรรม ดังนี้

  1. การสะสมของคราบจุลินทรีย์และหินปูน หากดูแลสุขภาพช่องปากไม่ดีพอ คราบแบคทีเรียและหินปูนจะสะสมรอบๆ ทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้
  2. สุขอนามัยช่องปากที่ไม่เหมาะสม การแปรงฟันไม่ทั่วถึงหรือใช้ไหมขัดฟันไม่ถูกต้อง ทำให้แบคทีเรียสะสมบริเวณรอบๆ ได้ง่าย
  3. โรคเหงือกหรือโรคปริทันต์ ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคเหงือกหรือโรคปริทันต์มาก่อน มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อรอบๆ
  4. การสูบบุหรี่และพฤติกรรมเสี่ยง การสูบบุหรี่ลดประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด ทำให้แผลหายช้า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยรอบ
  5. โรคประจำตัว เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่หรือควบคุมได้ไม่ดี  มีโอกาสติดเชื้อสูงกว่าปกติ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ลดลง
  6. ตำแหน่งและคุณภาพของกระดูกขากรรไกร หากกระดูกขากรรไกรไม่แข็งแรงเพียงพอ หรือฝังในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดแรงกดผิดปกติและเกิดการติดเชื้อได้
  7. การออกแบบครอบฟันและการใส่รากเทียมที่ไม่พอดี อาจทำให้เกิดช่องว่างที่แบคทีเรียสะสมได้ง่าย

การเข้าใจถึงสาเหตุของ Peri-implantitis จะช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลรากเทียมได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถใช้งานได้ยาวนานและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน หากพบอาการข้างต้น ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว

วิธีการรักษาการติดเชื้อรอบรากฟันฝังเทียม

หากพบว่ามีการติดเชื้อรอบรากเทียม (Dental implant) การรักษาจะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของการอักเสบ

  1. การทำความสะอาดและรักษาในระยะเริ่มต้น
  • ทันตแพทย์จะทำความสะอาดบริเวณรากฟัน ขูดหินปูน และขจัดคราบแบคทีเรีย
  • อาจใช้ น้ำยาฆ่าเชื้อ (Chlorhexidine) หรือเจลยาปฏิชีวนะเฉพาะที่เพื่อลดการอักเสบ
  • ผู้ป่วยควรปรับปรุงการดูแลสุขอนามัยในช่องปากให้ดีขึ้น
  1. การใช้ยาปฏิชีวนะ
  • ในกรณีที่มีการติดเชื้อรุนแรง ทันตแพทย์อาจสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะเพื่อลดการอักเสบและควบคุมการติดเชื้อ
  1. การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser Therapy)
  • การใช้เลเซอร์ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและกระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อโดยไม่ทำลายรากเทียม
  1. การผ่าตัดรักษา (Surgical Treatment)
  • หากการติดเชื้อส่งผลให้เกิดการทำลายกระดูกขากรรไกร อาจต้องทำศัลยกรรมปลูกกระดูก (Bone Grafting) เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับบริเวณรอบๆ
  • ในกรณีที่รากเทียมเสียหายมาก อาจต้องถอดรากฟันออกและทำการรักษากระดูกก่อนพิจารณาปลูกถ่ายรากฟันฝังเทียมใหม่
  1. การเฝ้าระวังและป้องกันการเกิดซ้ำ
  • ผู้ป่วยควรแปรงฟันให้สะอาด ใช้ไหมขัดฟัน และเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ หรือการรับประทานอาหารที่อาจก่อให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย
การดูแลรากฟันเทียม (Dental implant care) อย่างถูกต้อง

เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ ควรให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอ เข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพช่องปาก และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้รากเสียหายหรือเกิดการติดเชื้อ

หากมีอาการผิดปกติ เช่น เหงือกบวม แดง มีเลือดออก หรือรากเทียมโยก ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลาม การดูแลอย่างเหมาะสมจะช่วยให้อยู่กับคุณได้นาน และช่วยรักษาสุขภาพช่องปากให้แข็งแรงอยู่เสมอ

สนใจปรึกษาเกี่ยวกับ รากฟันเทียม เพื่อดูแลสุขภาพฟันเทียมของคุณให้แข็งแรง เชิญที่ Pearl Dental Clinic Chiang Mai เราพร้อมดูแลสุขภาพช่องปากของคุณด้วยทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีทันสมัย

Facebook
Twitter
Email
X

บทความล่าสุด

นัดเพื่อปรึกษาทันตแพทย์

เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์
เวลาทำการ 9.30 – 20.00 น.

ที่อยู่ : 316  โครงการ J Space ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ 

แผนที่ : Pearl Dental Clinic