Home » รากเทียมสำหรับคนไข้โรคหัวใจ หรือเบาหวาน ต้องระวังอะไรบ้าง
การใส่รากเทียมถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ช่วยฟื้นฟูการใช้งานฟันและเพิ่มคุณภาพชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจและเบาหวาน การเข้ารับการรักษาอาจไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจได้ทันทีเหมือนคนทั่วไป อย่างเช่นปัญหาเรื่องการสมานแผลที่ช้า ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยา ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการทำรากฟันเทียม เพราะหากละเลยการวางแผนหรือไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจทำให้ผลลัพธ์ของการรักษาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
ดังนั้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงควรทำความเข้าใจว่าการทำรากฟันชนิดเทียมนี้ต้องระวังในด้านใดบ้าง เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยสูงสุด
รากเทียม หนึ่งในแนวทางการรักษาทางทันตกรรมที่ช่วยทดแทนฟันที่สูญเสียไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจและเบาหวาน การเข้ารับการรักษามักจะมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเนื่องจากสภาวะสุขภาพและการใช้ยาบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน ทำให้การทำรากฟันเทียม จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
การทำรากฟันในผู้ป่วยโรคหัวใจจำเป็นต้องได้รับการประเมินทางการแพทย์อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, ลิ้นหัวใจผิดปกติหรือผู้ที่ได้รับการใส่ Stent เนื่องจากภาวะเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างและหลังผ่าตัด โดยเฉพาะในกรณีผู้ป่วยที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants) เช่น Warfarin, NOACs หรือยาต้านเกล็ดเลือด (Aspirin, Clopidogrel) ที่จะมีโอกาสเกิดภาวะเลือดออกง่ายและใช้เวลาหยุดเลือดนานกว่าปกติ ทำให้การผ่าตัดฝังรากต้องใช้เทคนิคที่รอบคอบในการควบคุมการห้ามเลือด
และอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ควรระวังคือ การติดเชื้อในกระแสเลือด (Bacteremia) ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของหัวใจโดยตรง เช่น การอักเสบที่ลิ้นหัวใจ (Endocarditis) ดังนั้นทันตแพทย์จำเป็นต้องปรึกษาและทำงานร่วมกับแพทย์โรคหัวใจ เพื่อปรับแผนการรักษา เช่น การพิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะป้องกันก่อนการผ่าตัด (Antibiotic Prophylaxis) หรือปรับลดยาบางชนิดตามดุลยพินิจของแพทย์
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน การทำรากเทียมถือว่ามีความท้าทายทางคลินิกอย่างมากเนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงส่งผลโดยตรงต่อระบวนการหายของแผล (Wound Healing Process) และความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโรค เพราะผู้ป่วยที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ (HbA1c > 7%) มักมีการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงบริเวณเหงือกและกระดูกน้อยลง ทำให้การสมานแผลล่าช้า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหลังผ่าตัด ซึ่งหากการติดเชื้อเกิดขึ้นอาจส่งผลต่อการเชื่อมประสานระหว่างรากฟันเทียมกับกระดูก (Osseointegration) ทำให้รากไม่สามารถยึดติดได้อย่างมั่นคง
ดังนั้น ก่อนเข้ารับการรักษา ผู้ป่วยเบาหวานควรตรวจและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย โดยเฉพาะการตรวจค่า HbA1c เพื่อประเมินความเสี่ยง นอกจากนี้ทันตแพทย์อาจพิจารณาการใช้เทคนิคเสริม เช่น การเลือกใช้รากฟันฝังเทียมแบบที่มีพื้นผิวเคลือบพิเศษ (Surface Modification) เพื่อเพิ่มโอกาสการยึดติดกับกระดูก รวมถึงการติดตามดูแลหลังการรักษาอย่างใกล้ชิด เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
แม้ว่าผู้ป่วยโรคหัวใจหรือเบาหวานจะมีข้อจำกัดในการเข้ารับการรักษาทางทันตกรรม แต่หากได้รับการประเมินสุขภาพอย่างรอบด้านและวางแผนการรักษาโดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ ก็ยังสามารถเข้ารับการรักษาด้วยรากเทียมได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยแนวทางสำคัญที่ควรปฏิบัติ ได้แก่
ผู้ป่วยควรแจ้งประวัติการรักษา รายชื่อยาที่ใช้อยู่ และผลการตรวจสุขภาพล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคหัวใจหรือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อให้ทีมแพทย์ประเมินความเสี่ยงอย่างครอบคลุมก่อนใส่รากฟันเทียม
โดยทันตแพทย์อาจพิจารณาการให้ยาปฏิชีวนะก่อนทำหัตถการ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่อาจกระทบทั้งระบบหัวใจและการหายของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน
การเข้าพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอหลังใส่รากฟันมีความสำคัญอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบการฟื้นตัวของเหงือก ประสิทธิภาพการยึดติดของราก หรือการควบคุมภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
การเลือกสถานพยาบาลเพื่อทำรากเทียมเป็นการตัดสินใจที่สำคัญเพราะไม่ได้แค่เกี่ยวข้องกับสุขภาพช่องปากแต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว ที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของทันตแพทย์เฉพาะทาง วัสดุที่ได้มาตรฐาน และระบบดูแลหลังการรักษาที่ครบถ้วน
การฝังรากเทียมต้องอาศัยทีมทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านศัลยกรรมช่องปากและทันตกรรมประดิษฐ์ เพื่อให้รากฝังและการยึดติดกับกระดูกเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
วัสดุที่ใช้ควรเป็นไทเทเนียมคุณภาพสูง ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล พร้อมกับการใช้เทคโนโลยีทันสมัย เช่น การถ่ายภาพสามมิติ (CT Scan) เพื่อวางแผนตำแหน่งการฝังรากอย่างแม่นยำ ช่วยลดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การติดตามผลหลังการทำรากฟันเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อประเมินสุขภาพเหงือก กระดูก และการใช้งานในชีวิตประจำวัน พร้อมกับการเข้ารับคำแนะนำจากทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของรากฟัน
และที่ PEARL DENTAL CLINIC เรามีทีมทันตแพทย์เฉพาะทางด้าน รากเทียม โดยตรง พร้อมประสบการณ์ยาวนาน และเทคโนโลยีทันสมัย วัสดุทุกชิ้นผ่านการรับรองมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยสูงสุด อีกทั้งระบบดูแลหลังการรักษาอย่างใกล้ชิด ทำให้มั่นใจได้ว่ารากฟันเทียมจะมีความแข็งแรง สวยงาม และใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
หากคุณกำลังมองหาคลินิกทำฟันเชียงใหม่ที่น่าเชื่อถือและครบวงจร PEARL DENTAL CLINIC พร้อมให้บริการด้วยความใส่ใจและความเชี่ยวชาญครบทุกขั้นตอน ติดต่อเราได้แล้ววันนี้เพื่อวางแผนการรักษาอย่างปลอดภัยและเหมาะสมกับสุขภาพของคุณได้ทันที
บทความล่าสุด
จัดฟันใสแบบเร่งด่วน (Express / Lite) คืออะไร? เหมาะกับใคร?
ถอนฟันนานแล้ว ยังสามารถใส่รากฟันเทียมได้ไหม?
เปรียบเทียบ “วีเนียร์” vs “ฟอกฟันขาว” เลือกแบบไหนให้เหมาะกับคุณ
รากเทียมสำหรับคนไข้โรคหัวใจ หรือเบาหวาน ต้องระวังอะไรบ้าง
นัดเพื่อปรึกษาทันตแพทย์
เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์
เวลาทำการ 9.30 – 20.00 น.
ที่อยู่ : 316 โครงการ J Space ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
แผนที่ : Pearl Dental Clinic